Dota Pro circuit หลังเปลี่ยนเป็นระบบ League กับปัญหาที่ยังไม่หายไป

Dota 2 บทความ

หากใครติดตามวงการ Dota 2 มานาน ก็จะรู้ถึงปัญหาอย่างหนึ่งที่มีมานานแล้ว คือ ทีมระดับบนอยู่ได้ ทีมระดับใต้ตายหมด และ Dota Pro circuit มีส่วนเอี่ยวด้วย

Image result for dota pro circuit 2021
Dota Pro circuit หลังเปลี่ยนเป็นระบบ League กับปัญหาที่ยังไม่หายไป

มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ทั้งที่ตัวเลข Prize Pool ของผู้ชนะ The International 2019 มันสูงเสียจนเป็นเกมที่มีเงินรางวัลอันดับหนึ่งของโลก แต่ตัดภาพไปที่รายการระดับล่าง มันย่ำแย่จนทีมระดับ Tier 3 เป็นต้นไป ไม่สามารถเอาตัวรอดได้เลย หากไม่เน้นแข่งรายการภายนอก หรือ ทำงานอย่างอื่นไปด้วย

Dota Pro circuit ปัญหาที่มีมานานนม

หากเราจะไปพูดถึงปัญหาการเป็นอยู่ของ Pro Player กับ Team เราต้องทราบกันก่อน ว่า รายการต่าง ๆ ที่นำไปสู่ The International ล้วนแล้วแต่จัดขึ้นจาก income ส่วนหนึ่งของ Battle Pass ในปีก่อนหน้า โดยเราจะประมาณการนำเงินทั้งหมดไปใช้ได้ดังนี้

25% แรก จะเป็นรางวัลของ The International ในปีนั้น ๆ และเป็นส่วนเดียวที่ valve Corporation เปิดเผยตัวเลขออกมาจริง ๆ (หลังจากนี้คาดการณ์จาก Community)

25% ต่อมา ใช้กับการไปเป็นเงินรางวัลของ DPC ในปีถัดไป ส่วน 50% สุดท้าย เข้า Valve และ/หรือ นำไปเป็นค่า Organizer ในการจัดการแข่งขันต่าง ๆ นั่นรวมไปถึง Workshop และบลา ๆ ๆ อีกมากโข

ยกตัวอย่าง The International 9 มี Prize Pool มากถึง 30,000,000 USD หมายถึงปีนั้น Community จับจ่ายใช้สอยกับกิจกรรม Battle Pass ประมาณ 120,000,000 นั่นก็ดูจะไม่ปัญหาอะไร แต่ส่วนที่มีปัญหามันอยู่ที่ 25% ที่สอง ซึ่งแม้ 30,000,000 USD จะดูเหมือนมาก แต่ปัญหาเรื่องเงินส่งไปไม่ถึงทีม Tier ระดับล่างก็มีอยู่จริง

ผู้เล่นใน Community หลายท่านถึงกับโทษระบบ Major และ Minor เพราะมันทำให้ไม่ว่ายังไงก็จะมีแต่ทีมดัง ๆ เท่านั้นที่ได้แข่งใน Main Event และมันก็เป็นหน้าเดิม ๆ ที่แข่งใน The International หรือ Tier 1-2 นั่นเอง

นักแข่งบางท่านก็ออกมาเสนอไอเดีย นำระบบ League จากเกม League of Legend มาใช้ เพราะแม้ว่าเงินจากการแข่ง League of Legends Worlds ในแต่ละปีมันจะไม่ได้เวอร์วังอลังการอย่าง Dota 2 แต่ปัญหาเงินระดับล่างนั้นน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ข่าวดี คือ ด้วยสถานการณ์ COVID – 19 ทำให้ Valve Corporation ต้องจำใจ ประกาศเลื่อนกำหนดการการแข่งทุกอย่างไปเป็นปี ๆ พร้อมเปลี่ยนแนวทางการจัดแข่ง DPC แต่เพื่อให้ The International ครั้งที่ 10 เกิดขึ้นจริงในปีนี้ การแข่ง Dota Pro Circuit 2021 จึงต้องเริ่มขึ้นตั้งแต่ต้นมกราคมที่ผ่านมา

เมื่อยังอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย COVID – 19 การมาของระบบ league เป็นเหมือนทางออกของปัญหาที่จังหวะพอเหมาะพอดี แต่พอนำเข้ามาใช้จริง… ปัญหาเก่ามันถูกกำจัดหรือไม่ แล้วมีผลเสียอย่างไร? ก่อนหน้านั้นผมอยากให้ทุกคนย้อนไปเมื่อปีที่แล้วอีกครั้งกับ…

Dota Pro circuit ฉบับใหม่ มาได้อย่างไร?

หลายคนได้เห็นการแข่งบนระบบ league แบบใหม่แล้ว และหากใครดู Tour ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ก็จะทราบว่ามันคล้ายกันกับระบบ league ของเจ้าอื่นในปีที่แล้วมาก แต่นั่นก็ไม่ได้แปลกอะไร

เพราะตอนที่สถานการณ์ COVID – 19 ยังมาใหม่ ๆ เป็นช่วงที่ทุกประเทศในโลกกำลังสั่นกลัวกับสิ่งที่ไม่รู้จัก ทำให้ทางเข้า-ออกของแต่ละประเทศถูกปิดตัวลง เพราะงั้นไม่ว่าเจ้าไหนก็แหกกฎที่ทั่วโลกใช้ร่วมกันนี้ไม่ได้

นั่นทำให้ระบบ Major และ Minor ที่รวมทีม All-Star ทั้งโลกมารวมกันใน Tournament เดียวจึงเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น การมาของระบบ league จึงมาแทนที่แบบสายฟ้าฟาด แต่ยังไงเสีย.. หากไม่สามารถรวมทีมทั่วโลกมาแข่งในรายการเดียวกันได้ มันก็ไม่มีทางเป็น The International อย่างที่เคยได้

ปัญหานั้นทำให้ Valve Corporation เจ้าของและผู้พัฒนา Dota 2 ได้ประกาศเลื่อนการแข่งของพวกเขาอย่างเป็น Official (ทางการ) และนั่นเป็นเหมือนการเปิดสัญญาณไฟ ทำให้ Organizer ทั่วโลกตื่นตัวเริ่มจัด Tournament ต่าง ๆ อีกครั้ง

เพราะพวกเขาไม่ต้องกลัวว่าจะชนกับ DPC หรือ TI10 อีกต่อไป

เราจึงได้เห็นรายการ Epic League 1 2 3, ESL one Thailand 2020, BTS Pro Series และอื่น ๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่าปีที่แล้ว วงการ Dota 2 แข่งกันบ่อย ไม่ปล่อยเม้าส์เลยทีเดียว มี Big Match เยอะมาก

ถึงแม้จะติดปัญหา COVID – 19 แต่รายการเดียวก็จัดไปทั่วโลก โดยใช้วิธีซอยเป็นภูมิภาค โซนไหนใกล้กัน บ้านข้างเรือนเคียง ก็จับมาอยู่ด้วยกันเสียเลย

Image result for epic league division 1 ก่อน Dota Pro circuit
Epic League หนึ่งใน Tournament ที่บูมมากในยุคที่ COVID – 19 กำลังกระจายตัว
Image result for bts pro series season 3: southeast asia championship ก่อน Dota Pro circuit
bts pro series season 3: southeast asia championship
ESL one Thailand 2020 ก่อน Dota Pro circuit
ESL one Thailand 2020 การแข่งระดับใหญ่ที่เกิดขึ้นในไทย

เช่น North America (NA) ก็อยู่กับ South America (SA) หรือ Europe (EU) อยู่กับ Commonwealth of Independent States (CIS) นอกจากนี้ ยังนำระบบ league มาใช้ กลายเป็น Division 1 และ Division 2 ขึ้นมา เรียกได้ว่าเงินเข้าถึงทุกโซน

ปีที่แล้ว ถือเป็นปีแห่งการแข่งที่ไม่ใช่ของ Valve และเป็นระดับใหญ่ ด้วยจำนวนกับตัวเลขเงินรางวัลที่หมุนเวียนทั้งใน Tier 1 2 3 มีมากขึ้น เพราะการจัดแข่งภูมิภาคทำให้โลกแคบลง

เมื่อโลกของ Dota 2 แคบลง ทีมที่ไม่เคยมีโอกาสก็ได้มีเวทีไว้เฉิดฉาย เมื่อมีเวทีเฉิดฉายทีมก็ได้เข้าถึงเงินรางวัลมากขึ้น เมื่อเข้าถึงเงินมากขึ้นพวกเขาก็อยู่ได้ ฟังดูแววอาจจะเหมือนนโยบายบริหารอะไรสักอย่าง

แต่นี่คือเรื่องจริง การจะเป็น Pro player การจะสร้างทีม Pro Scene มันต้องใช้เงิน ใช้เวลา และยังไงเสีย Dota 2 ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยทีม Tier 1 เพียงไม่กี่หยิบมือทั่วโลก มันต้องมี Community ที่ใหญ่ ไม่งั้นก็จะไม่มี 40,000,000 USD ที่เป็น Prize Pool ของ The International ครั้งที่ 10

Dota Pro circuit กลับมา

เอาล่ะ ถึงแม้ว่าปีที่แล้วมันจะออกมาดี แต่ปีนี้ไม่ใช่อย่างนั้น อย่างที่บอกว่า Valve Corpulation กลับมาแล้ว ดังนั้น DPC และ TI ก็จะกลับมาด้วย แต่อย่างที่บอกกันไปแต่ต้นเรื่อง ว่าทาง Valve นั้นพยายามเปลี่ยนมาใช้ระบบ league มากขึ้น แต่… (มีแต่เยอะจริง)

ตามที่ตกลงกันไว้ Valve Corpulation ประกาศให้มี DPC ทั้งหมด 3 Season และจะรวมเข้ากับ Major และ Minor เมื่อโลกกลับมา Run ต่อไปได้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาคือ มีการจัดแข่งแค่ 2 Season และนานกว่าที่คิดเอาไว้เยอะ หลายคนถามว่ามันเป็นปัญหาอย่างไร?

ลองคิดแบบนี้ ปีที่แล้วคุณไปแข่ง Dota 2 รายการต่าง ๆ แบบ leauge คุณจะใช้เวลาประมาณ 1 – 2 เดือน ต่อให้คุณอาจจะไม่ได้ไป Division หลัก แต่คุณจะได้เงินกลับไป ประมาณ 10,000 USD (300,000 บาท) แล้วแต่ลำดับที่ได้ หารแล้วคุณจะได้ 30,000 -50,000 ต่อเดือน

ยังไม่นับว่าพอ Valve ไม่ได้จัดเอง ทำให้ Organizer ไม่ต้องหลบ DPC หรือ TI พวกเขาก็จะจัดซ้อนกันหรือชนกันเป็นว่าเล่น เพราะใครก็อยากจัด ดังนั้น ทีม Tier 3 ของคุณ อาจได้ต่อหัวประมาณ 100,000 บาท +++ ต่อเดือน

อยู่ได้ไหม? อยู่ได้!!

ตัดมาที่ปีนี้ ถึงแม้จะเป็น Division 1, Division 2 แบบ league แต่การที่ Valve เป็นคนจัดนั่นหมายความว่ามันมีคะแนน DPC มาเกี่ยวข้อง ดังนั้น จะไม่มีใครกล้าจัดซ้อน เพราะทุกคนเอา The International เป็นสำคัญ ต่อให้จัดแล้วจะมีทีมระดับ Tier 2-3 มาแข่งเยอะ แต่คนก็จะเลือกดูแต่ทีม Tier 1 เป็นหลัก และพวก Tier 1 เขาเอา TI เป็นที่ตั้งอยู่แล้ว

เมื่อไม่มีการจัดซ้อนกัน เงินก็จะตกอยู่ที่ 40,000 บาท และอาจจะไม่ใช่ต่อเดือน เพราะ DPC แข่งยาวกว่าค่าเฉลี่ย อาจเป็น 2 – 3 เดือน กับเงินครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

อยู่ได้ไหม? ไม่มีทาง!!

ปัญหานี้จึงยังคงอยู่ และดูเหมือน Valve จะรอให้ TI10 ผ่านไปก่อนที่จะทำอะไรเพิ่มเติม เราคงต้องเห็นผู้เล่นระดับกลางเงียบไปอีกสักพัก จนกว่าจะปีหน้าเลย

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน อย่าลืมติดตามบทความเกี่ยวกับ Esports ได้ที่ Ufabet-Esport.com ส่วนของ Dota 2 เรื่องหน้าจะเป็นอะไร โปรดติดตาม

โดย เด็กเกาะเบาะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *